Skip to content

COVID-19 ANTIBODY COCKTAIL

ยาแอนติบอดีแบบผสมเพื่อการรักษาผู้ป่วยโรค COVID-19

จากการวิจัยทางคลินิกพบว่า การรักษาด้วยยาแอนติบอดีแบบผสมสามารถลดปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดและยับยั้งการติดเชื้อของร่างกาย ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตได้ถึง 70% ทำให้ลดระยะเวลาการมีอาการของโรคได้ประมาณ 4 วัน รวมทั้งลดระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิต โดยต้องได้รับยาตั้งแต่ระยะแรกในการป่วย ซึ่งยาแอนติบอดีแบบผสมได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 (Emergency Use Authorization หรือ EUA) เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และ ญี่ปุ่น

ยาใหม่ที่ใช้ในการรักษาโรค COVID-19 ซึ่งเป็นยาในกลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) หรือที่เรียกกันว่า “แอนติบอดีค็อกเทล (Antibody Cocktail)” ประกอบไปด้วยยาคาซิริวิแมบ (Casirivimab) และยาอิมดีวิแมบ (Imdevimab) มีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาโรค COVID-19 ในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปโดยที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง ไม่ต้องให้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง และเป็นผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่โรคจะดำเนินไปสู่อาการรุนแรง

ยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) ออกฤทธิ์อย่างไร

ยาแอนติบอดีแบบผสมเป็นยากลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดีประเภท Immunoglobulin (Ig) ชนิด IgG1 ที่สกัดจากแอนติบอดีของผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งรักษาหายแล้วและแอนติบอดีที่สกัดจากหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม โดยแอนติบอดีนี้จะเข้าไปจับที่ตัวรับบนโปรตีนหนาม (Spike Protein) และออกฤทธิ์ขัดขวางไม่ให้โปรตีนหนามจับกับตัวรับของเซลล์ร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การยับยั้งการติดเชื้อภายในร่างกายต่อไป การใช้แอนติบอดี 2 ตัวนั้นเพื่อลดการเกิดการกลายพันธุ์ที่ S protein

(ส่วนเพิ่มเติม)

ความแตกต่างระหว่างยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) และยาฟาวิพิราเวียร์

ยาแอนติบอดีแบบผสมใช้เพื่อเจาะจงรักษา COVID-19 โดยเฉพาะ ยาสังเคราะห์เลียนแบบมาจากภูมิต้านทานของผู้ป่วยโควิด-19 ที่สร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัส เป็นยาที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ทำให้ปริมาณไวรัสลดลง ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะปอดอักเสบ จึงเป็นยาที่นำมาใช้ตั้งแต่คนไข้อาการยังไม่หนัก เพื่อลดความรุนแรงของโรคไม่ให้มีอาการเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฟาวิพิราเวียร์มีคุณสมบัติการรักษาที่ออกฤทธิ์กว้าง ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสได้หลายชนิด ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสอีโบล่า เป็นต้น ไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อรักษาโควิด 19 โดยตรง

ข้อบ่งชี้ยาแอนติบอดีแบบผสม

  • ใช้เพื่อการรักษาในผู้ป่วยที่มีผลตรวจยืนยันการติดเชื้อโรค COVID-19
  • อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป มีอาการป่วยน้อยถึงปานกลาง
  • ไม่ต้องให้ออกซิเจนอัตราสูงเพื่อการรักษา
  • ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่โรคจะดำเนินไปสู่อาการรุนแรง

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มความรุนแรงของโรค COVID-19 ได้แก่

  • ผู้สูงอายุ
  • โรคอ้วน
  • โรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะความดันโลหิตสูง
  • โรคปอดเรื้อรัง
  • โรคหอบหืด
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ ชนิดที่2
  • โรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างฟอกไต
  • โรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือภูมิคุ้มกันถูกกดจากผลการประเมินโดยแพทย์ เช่น ผู้ป่วยที่รับการรักษาโรคมะเร็ง
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกหรือเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
  • ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเลือดบางชนิด เช่น ภาวะโลหิตจางเหตุเซลล์เม็ดเลือดแดงผิดปกติเป็นรูปเคียว(Sickle Cell Anemia) หรือ โรคธาลัสซีเมีย
  • ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

ประโยชน์ของยาแอนติบอดีแบบผสมในผู้ป่วย COVID-19

  • สามารถลดปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดและยับยั้งการติดเชื้อในร่างกาย
  • ลดระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล
  • ลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ถึง 70% โดยต้องได้รับยาตั้งแต่ป่วยระยะแรก
  • ยาแอนติบอดีแบบผสมออกฤทธิ์ต่อเชื้อกลายพันธุ์บางชนิดได้

ขนาดยาและวิธีบริหารยาแอนติบอดีแบบผสม

ยาสูตรผสมยาคาซิริวิแมบ 600 มิลลิกรัม และยาอิมดีวิแมบ 600 มิลลิกรัม ผสมในสารละลายนํ้าเกลือโซเดียมคลอไรด์ 0.9% โดยบริหารยาด้วยการหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำในครั้งเดียว (Single Intravenous Infusion) ระยะเวลาขั้นต่ำที่ใช้ในการหยดยา 20 – 30 นาที ในระหว่างการหยดยาผู้ป่วยต้องได้รับการเฝ้าติดตามอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังจากเสร็จสิ้นการให้ยา

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง

มีการรายงานผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นแต่พบได้น้อย เช่น ภาวะมีไข้ หนาวสั่น ผื่นลมพิษ อาการคัน อาการปวดท้อง คลื่นไส้ และร้อนวูบวาบ ในขณะบริหารยาหากมีอาการแพ้เฉียบพลันรุนแรงต้องหยุดการให้ยาทันที ทั้งนี้ยาคาซิริวิแมบและยาอิมดีวิแมบไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่ต้องได้รับออกซิเจนเสริมอัตราการไหลสูง (High Flow Oxygen Therapy) หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพราะอาจทำให้ผลลัพธ์การรักษาแย่ลง IDSA แนะนำกลุ่มคนที่ได้รับยาแอนติบอดีแบบผสมควรเลื่อนเวลาการให้วัคซีนมากกว่าหรือเท่ากับ 90 วัน เนื่องจากอาจมีผลต่อการรบกวนการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในร่างกาย และในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 หลังจากการได้วัคซีนก็สามารถให้แอนติบอดีแบบผสมได้ การได้รับวัคซีนก่อนหน้าไม่มีผลต่อการรักษา

References:

  1. Package leaflet: Information for the patient, Casirivimab and Imdevimab 120 mg/mL concentrate for solution for infusion, 2021, cited : https://www.cdc.gov.tw/File/Get/EH-SyublzSy87DOAUjc9uA
  2. Fact sheet for health care providers emergency use authorization (EUA) of Regen-covtm(casirivimab and imdevimab), 2021, cited : https://www.regeneron.com/downloads/treatment-covid19-eua-fact-sheet-for-hcp.pdf
  3. Authorized use REGEN-COV(casirivimab and imdevimab), 2021, cited : https://www.regeneron.com/medicines/casirivimab-imdevimab

แชร์ :

บทความสุขภาพที่เกี่ยวข้อง