โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่เซลล์ปกติในลำไส้ใหญ่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างไม่หยุดยั้งจนควบคุมไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลาเป็นปี ในระยะแรกๆ เซลล์อาจเป็นเพียงแค่เนื้องอกธรรมดา แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษาหรือตัดทิ้ง เนื้องอกนี้อาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งได้
ปัจจัยเสี่ยง
แม้ว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่จะยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบางปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ เช่น
- มีประวัติเนื้องอก ซึ่งปกติจะพบที่ผนังลำไส้ใหญ่และไม่ใช่เนื้อร้าย แต่หากเวลาผ่านไป เนื้องอกบางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
- อายุ โดยส่วนใหญ่พบว่ากว่า 90% มักเกิดกับคนที่อายุมากกว่า 40 ขึ้นไป แต่ก็อาจพบได้ในวัยหนุ่มสาวและวัยรุ่น
- มีประวัติโรค IBD (inflammatory bowel disease) หรือ โรค ulcerative colitis และ Crohn’s disease โดยอาจกลายเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากยิ่งขึ้น
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก่อนอายุ 60 ปีมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น
- การไม่ออกกำลังกายและความอ้วน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
- การสูบบุหรี่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
อาการ
ในบางครั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่มีอาการผิดปกติบ่งชี้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือบางครั้งอาการที่พบอาจคล้ายกับอาการของโรคอื่น ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
- ท้องเสีย ท้องผูก หรือรู้สึกท้องอืด
- อุจจาระปนเลือดสดๆ หรือเลือดสีคล้ำมาก
- ลักษณะอุจจาระเล็ก เรียวยาวกว่าปกติ
- ไม่สบายท้อง รวมทั้งปวดแสบร้อน อาหารไม่ย่อย และปวดเกร็ง
- น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง
- ภาวะซีด หรือ โลหิตจาง
- มีประวัติในครอบครัว
การตรวจประเมินโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เบื้องต้น
การตรวจประเมินเบื้องต้น เป็นวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และสามารถแยกเนื้องอกที่กำลังจะกลายเป็นมะเร็งได้ แนะนำให้เริ่มตรวจประเมินเบื้องต้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงเมื่ออายุ 50 ปี โดยวิธีการตรวจประเมินเบื้องต้นทำได้ดังนี้
- การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (fecal occult blood test: FOBT) สามารถตรวจได้ว่ามีเนื้องอกหรือเป็นมะเร็งหรือไม่ การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปีจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และลดลงได้ 18% ในกรณีที่ตรวจปีเว้นปี
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
- การใช้สารทึบแสงแบเรียมร่วมกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซเรย์ CT scan (double contrast barium enema: DCBE) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องได้
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคแพทย์จะใช้วิธีตรวจหลายๆ วิธีเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ และมีการแพร่กระจายไปที่ใดแล้วหรือไม่ โดยแพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ประกอบ เช่น อายุและสุขภาพ ประเภทของมะเร็ง ระดับความรุนแรงของอาการ และผลการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เป็นต้น โดยวิธีการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้ดังนี้
- การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เป็นวิธีการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แม่นยำที่สุด และเพื่อการตรวจทางชีวโมเลกุลของมะเร็ง
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) สามารถใช้ในการตรวจสอบตำแหน่งของโรคและการกระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
ทางเลือกในการรักษา
การรักษามะเร็งลำไส้และทวารหนักขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพของผู้ป่วย โดยวิธีการรักษาดังนี้
- การผ่าตัด (Surgery) เป็นวิธีหลักในการรักษา โดยการนำส่วนที่เป็นมะเร็งออก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและสภาพของผู้ป่วย
- รังสีรักษา (Radiation) : ใช้รังสีเพื่อทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- เคมีบำบัด (chemotherapy) ใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- การรักษาด้วยภูมิคุ้มดัน (Immunotherapy) ;กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
การตรวจคัดกรองและการรักษาแต่แรกเริ่ม มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มโอกาสหายขาดและลดความรุนแรงของโรค
