ประเทศไทยมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถ โดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับที่ 8 พ.ศ.2551 กล่าวไว้ว่า
“ห้ามมิให้ผู้ขับรถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับ เว้นแต่ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น”
ซึ่งนักกฎหมายตีความพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือตามกฎหมายนี้ไว้ว่า ครอบคลุมทั้งการสนทนา กดหมายเลขเพื่อโทรออก รับสายโทรเข้า ฟังเพลง เล่นเกม รับ-ส่งหรือดูข้อความหรือพิมพ์ข้อความเอสเอ็มเอส หรืออีเมล ดูภาพ และกิจกรรมอื่นๆ ที่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถทำงานได้ ถือเป็นการใช้โทรศัพท์ทั้งสิ้น แต่การกระทำดังกล่าวจะมีความผิดเมื่อผู้ขับขี่ถือหรือจับโทรศัพท์ในขณะขับรถ หากเพียงแต่เปิดลำโพง (สปีคเกอร์ โฟน) แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ขณะสนทนา หรือเปิดเพลงจากลำโพง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ โดยไม่ได้ถือหรือจับโทรศัพท์ ก็ไม่ถือว่าครบองค์ประกอบในการทำผิดตามข้อหานี้ อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากการวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้มือถือหรือจับโทรศัพท์ในขณะขับรถหรือไม่นั้น ไม่ใช่สาระสำคัญแต่ การคุยโทรศัพท์ในขณะขับรถทำให้ผู้ขับเสียสมาธิและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าการขับปกติสี่เท่า ผลงานวิจัยดังกล่าว อาจเป็นประโยชน์ในการพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ ในอนาคต รวมทั้งเป็นข้อมูลสำหรับการเรียนการสอนในสถานศึกษา การให้ความรู้แก่ประชาชน การรณรงค์งดใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ และมารยาทในการใช้โทรศัพท์เมื่อทราบว่าคู่สนทนากำลังขับรถอยู่ เพื่อให้เกิดการขับขี่อย่างปลอดภัย
โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา มีข้อแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อให้การขับรถมีความปลอดภัย คือ หาก ขับรถในระยะทางใกล้ๆ ใช้เวลาจนถึงที่หมายไม่นานนัก ไม่ควรรับสายหรือโทรออกจนกว่าจะถึงที่หมาย หากขับรถระยะทางไกลและใช้เวลานาน ควรกำหนดจุดหยุดพัก เช่น หยุดพักทุกหนึ่งชั่วโมง แล้วค่อยโทรศัพท์เมื่อถึงจุดหยุดพัก หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ ควรจอดรถข้างทางในที่ที่ปลอดภัยแล้วจึงโทร หากอยู่ในที่ที่รถติดหรือจำเป็นต้องขับรถต่อไป ควรขับชิดซ้ายและชะลอความเร็วลง เตรียมอุปกรณ์เสริมให้พร้อมใช้งาน เมื่อเริ่มสนทนา ควรแจ้งให้คู่สนทนาทราบว่าเรากำลังขับรถอยู่และใช้เวลาในการพูดคุยให้สั้น ที่สุด หลีกเลี่ยงเรื่องสนทนาที่ทำให้เศร้า โกรธ หงุดหงิดหรืออารมณ์เสีย และไม่รับหรือส่งเอสเอ็มเอสหรืออีเมลในทุกกรณี
เอกสารอ้างอิง
- กาญจนา ศรีสวัสดิ์ และคณะ การสำรวจความเสี่ยงจากการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถยนต์ในประเทศไทย พ.ศ. 2552 สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2552
- Centers for Disease Control and Prevention. Mobile device use while driving – United States and seven European countries, 2011. MMWR 2013; 62(10): 177-182 http://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/mm6210a1.html
- Centre for accident research & road safety – Queensland. Mobile phone use & distraction while driving. http://www.police.qld.gov.au/Resources/Internet/news%20and%20alerts/campaigns
/fatalfive/documents/mobile_phones_and_distraction_fs.pdf> - Schroeder, P., Meyers, M., & Kostyniuk, L. (2013, April). National survey on distracted driving attitudes and behaviors – 2012. (Report No. DOT HS 811 729). Washington, DC: National Highway Traffic Safety Administration.
- McEvoy SP, Stevenson MR, McCartt AT, Woodward M, Haworth C, Palamara P, Cercarelli R. Role of mobile phones in motor vehicle crashes resulting in hospital attendance: a case-crossover study. BMJ. 2005;331:428.
ที่มา: ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ
- See more at: http://www.bangkokhealth.com/bhr/th/content_detail.php?id=1267&types=#sthash.lUEC0SwU.dpuf