Skip to content

รู้จักไขมันพอกตับ จุดเริ่มต้นของโรคร้ายที่อาจทำลายสุขภาพตับ

กลุ่มเสี่ยงไขมันพอกตับ

ตับสำคัญกับร่างกายเราอย่างไร

ตับเป็นอวัยวะขนาดใหญ่อยู่บริเวณชายโครงขวาใต้กระบังลม มีน้าหนักประมาณ 1,200 – 1,500 กรัม มีหน้าที่สำคัญในร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างน้ำดีเป็นสารช่วยย่อยอาหาร สร้างโปรตีน กักเก็บธาตุเหล็ก เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน สร้างสารที่ช่วยให้หลอดเลือดแข็งตัว และเป็นส่วนหนึ่งระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยต่อต้านการติดเชื้อด้วยการกำจัดแบคทีเรียและสารพิษออกจากเลือด

ไขมันพอกตับคืออะไร

โดยปกติในตับที่สุขภาพดีจะมีไขมันเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเกิดการสะสมไขมันในตับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนก้อนไขมันเหล่านั้นมีน้ำหนักประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตับ ภาวะนี้เรียกว่าไขมันพอกตับ หรือ ไขมันเกาะตับ (Fatty liver) ซึ่งไขมันที่มักเป็นสาเหตุของไขมันพอกตับคือไขมันชนิดไตรกรีเซอไรด์ ภาวะนี้ไม่ส่งผลให้รู้สึกเจ็บหรือปวด แต่จะทำให้การทำงานของตับผิดปกติ กลุ่มเสี่ยงหลายคนจึงมักไม่รู้ตัวว่ามีภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทางการแพทย์มีการจำแนกชนิดของไขมันพอกตับออกเป็น 2 ชนิดตามสาเหตุหลัก ๆ ของภาวะนี้ได้แก่

ไขมันพอกตับชนิดที่มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ Alcoholic fatty liver disease (AFLD)

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นสาเหตุหลัก ๆ ของไขมันพอกตับชนิดนี้ ที่สำคัญภาวะนี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคตับอื่น ๆ เนื่องจากหน้าที่ของตับอย่างหนึ่งคือการขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย แต่เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปตับจะไม่สามารถขับออกได้หมด จึงเกิดความเสียหายขึ้นที่ตับและจะสะสมให้เกิดภาวะไขมันพอกตับนำไปสู่โรคตับที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ได้

ไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD)

ไขมันพอกตับชนิดนี้ไม่ได้มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นภาวะไขมันพอกตับชนิดที่สถานการณ์น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมปัจจุบันนี้ เนื่องจากมีสาเหตุได้จากหลายสาเหตุไม่ได้เจาะจงที่สาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจาการรับประทานอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมัน เป็นประจำ หรือเกี่ยวข้องกับภาวะบางอย่างในร่างกายเช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือาจเป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด คนที่ตรวจสุขภาพแล้วพบว่ามีไขมันส่วนเกินในตับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะนี้

ระดับไขมันพอกตับ

ระยะของไขมันพอกตับ

โดยปกติไขมันพอกตับไม่ได้แสดงอาการที่สังเกตได้ แต่ไขมันพอกตับสามารถพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดความรุนแรงได้ทั้งชนิดที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ (AFLD) และไม่ได้มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไขมันพอกตับชนิดระยะของโรคจะก่อตัวเป็น 4 ระยะคล้าย ๆ กันดังนี้

  • ระยะที่ 1 ไขมันพอกตับธรรมดา (Simple fatty liver) ลักษณะของระยะนี้คือเกิดไขมันสะสมในตับมากเกินไป ระยะนี้มักไม่เป็นตรายหากรักษาไม่ให้พัฒนาไประยะถัดไป
  • ระยะที่ 2 เนื้อเยื่อตับเกิดการอักเสบ (Steatohepatitis) ระยะนี้นอกจากการสะสมไขมันในตับแล้วยังเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณตับร่วมด้วย
  • ระยะที่ 3 เนื้อเยื่อตับเกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่อง (Fibrosis) ระยะนี้เนื้อเยื่อที่อักเสบเกิดความเสียหายถึงขั้นกลายเป็นก้อนในตับ ในระยะนี้ตับยังคงทำงานได้บางส่วน
  • ระยะที่ 4 โรคตับแข็ง (Cirrhosis) ในระยะนี้แผลอักเสบเกิดการลุกลามอย่างรวดเร็ว ทำให้การทำงานของตับด้อยประสิทธิภาพลงและไม่สามารถฟื้นฟูเนื้อเยื่อให้กลับมาปกติได้

กลุ่มเสี่ยงไขมันพอกตับ

  • คนที่มีไขมันบริเวณหน้าท้องเยอะ หรือ คนที่มีโรคอ้วน (Obesity)
  • คนที่มีความดันในเลือดสูง
  • คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
  • คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือไตรกรีเซอไรด์ในเลือดสูง
  • คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA)
  • คนที่มีภาวะเมแทบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)
  • คนที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome: PCOS)
  • คนที่มีภาวะขาดไทรอยด์ (Underactive Thyroid) หรือ ไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism)
  • คนที่มีภาวะต่อมใต้สมองทำงานบกพร่อง (Hypopituitarism)
ปรึกษาแพทย์ รักษาไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับตรวจเจอได้อย่างไร ?

คนที่มีภาวะไขมันพอกมักจะไม่มีอาการที่สังเกตได้ด้วยตนเอง โดยส่วนใหญ่มักจะตรวจเจอโดยแพทย์เมื่อไปตรวจสุขภาพ หรือไปพบแพทย์เพราะมีบ่งขี้โรคตับบางโรค โดยเฉพาะเมื่อตรวจระดับเอนไซม์ตับในเลือดแล้วพบว่ามีค่าตับสูง ผลตรวจระดับเอนไซม์นี้มักเป็นสัญญาณแรก ๆ ที่แพทย์นำไปพิจารณาหาสาเหตุว่าเกิดความผิดปกติอะไรที่ตับ ในการตรวจไขมันพอกตับแพทย์จะแนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วยเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์บางอย่างตามความเห็นแพทย์ เช่น

  • การใช้ computed tomography หรือ CT Scan ในการประมวลผลาสร้างภาพตับเพื่อนำมาวิเคราะห์
  • การเจาะชิ้นเนื้อตับ (Liver biopsy) เพื่อนำไปตรวจความเสียหายของตับ
  • การใช้ Fibro scan อัลตราซาวนด์ตับโดยเฉพาะ เพื่อประมวลผลไขมันในตับและเนื้อเยื่อตับที่ผิดปกติ

การรักษาอาการไขมันพอกตับ

โดยส่วนใหญ่คนทั่วไปมักตรวจภาวะไขมันพอกตับแต่ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นก่อโรคจำพวก โรคตับแข็ง ตับอักเสบ หรือมะเร็งตับ สำหรับการรักษาไขมันพอกตับปัจจุบันไม่ได้มีวิธีการรักษาโดยตรง แพทย์จะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมต้นเหตุของไขมันพอกตับ ด้วยการให้คำแนะนำผู้ป่วยเพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหายในตับเพิ่มขึ้น โดยแพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น

  • การลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • การลดน้ำหนัก
  • ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์สูง) ให้กินยารักษาตามโรคที่เป็น
  • แพทย์อาจจ่ายยาลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือวิตามินอีในผู้ป่วยบางราย

สิ่งสำคัญในการเอาใจใส่ในการรักษาไขมันพอกตับคือการรักษาและป้องกันไม่ลุกลามตั้งแต่ระยะแรก ๆ การรักษาสุขภาพให้ดีเอาไว้นั้นจำเป็นต้องอาศัยการรักษาสุขภาพโดยรวมทั้งอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ ฯลฯ และเพื่อความแม่นยำในการติดตามสุขภาพตนให้ละเอียดมากขึ้นควรมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ป้องกันโรคภัยตั้งแต่เนิ่น ๆ

หากมีข้อสงสัยสามารถทำนัด สอบถามข้อมูลหรือปรึกษากับทีมศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ ได้ที่ทุกช่องทางการติดต่อของโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา

ตรวจไขมันพอกตับ

แชร์ :

บทความสุขภาพที่เกี่ยวข้อง