การรักษา

ปัจจุบันรังสีแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาโรคร่วมกับแพทย์สาขาอื่นๆ มากขึ้น เรียกว่า รังสีแพทย์ร่วมรักษา เพื่อช่วยในการวินิจฉัยที่แน่นอนทางด้าน Histology, Biochemistry และ Bacteriology หรือวิธีการรักษาที่ทำโดยการสอดใส่เครื่องมือหรือแทงเข็มผ่านผิวหนังเข้าสู่ตำแหน่งเป้าหมาย สามารถใช้ร่วมรักษากับโรคของอวัยวะเกือบทุกระบบ รังสีแพทย์ร่วมรักษายังสามารถนำชิ้นเนื้อที่ออกมาตรวจ หรือทำการรักษาโรคนั้นๆ โดยใช้วิธีแทงเข็มหรือใส่เครื่องมือผ่านทางผิวหนังลงไปที่ตำแหน่งของโรคโดยตรง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ เป็นการช่วยลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัด ลดระยะเวลาในการพักฟื้น ลดค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษา

เทคโนโลยี

เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงประเภท Multi-Detector CT [MDCT] สามารถสร้างภาพได้ครั้งเดียว 128 ภาพ ต่อการหมุน 1 รอบ 360 องศา โดยใช้เวลาเพียง 0.35 วินาที ทำให้สามารถจับภาพอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาได้อย่างแม่นยำ   นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยระบบหลอดเลือด และระบบหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติเบื้องต้นของระบบหลอดเลือดและระบบหลอดเลือดหัวใจภายในเวลาเพียง 10 น

เครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า Magnetic Resonance Imaging [MRI] ระดับความเข้มของสนามแม่เหล็กสูง 3 เทสลา [3.0 Tesla Unit] สำหรับการวินิจฉัยอาการความผิดปกติทางสมอง ไขสันหลัง ระบบกระดูกและข้อ รวมถึงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถแสดงผลตรวจได้อย่างมีคุณภาพและมีความละเอียดสูง โดยเฉพาะการตรวจเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆที่ซับซ้อน หรือมีขนาดเล็ก รวมถึงเนื้องอกและมะเร็งต่างๆ

ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการตรวจแบบใช้รังสีเอกซเรย์และใช้สารทึบแสงได้ เช่น ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่แพ้สารทึบรังสี หรือผู้ป่วยในภาวะไตวาย รวมถึงผู้ป่วยสูงอายุที่ไม่สามารถกลั้นหายใจนานๆ ได้ นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมีลักษณะเป็นอุโมงค์สั้นทรงกระบอกในแนวนอนขนาดกระทัดรัดที่สุด ในโลก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการกลัวการเข้าไปอยู่ในบริเวณแคบและปิดทึบของผู้ป่วยได้ MRI จึงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำ และนำไปสู่การรักษาโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น

Better Image Quality, High Resolution

Better Positioning, More Comfort, 70 cm bore

Better Technology, Digital Broadband MR

การตรวจอัลตราซาวนด์ คือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกไปจากหัวตรวจ คลื่นเสียงจะกระทบกับเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการดูดซับและสะท้อนกลับไม่เท่ากัน หัวตรวจจะทำหน้าที่รับสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมาในระดับต่างๆ และนำสัญญาณที่ได้รับมาประมวลผล เพื่อสร้างภาพขึ้นมา มีความปลอดภัยสูง สามารถตรวจได้ตลอดการตั้งครรภ์ี

ข้อดีของอัลตราซาวนด์ 4 มิตินั้น สามารถช่วยให้เห็นการเคลื่อนไหวของทารกที่เสมือนทารกจริงๆ ตลอดเวลาโดยอัลตราซาวนด์ 4 มิติ จะชัดเจนกว่าการอัลตราซาวนด์ 2 มิติ สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของทารก เช่น การหาว การลืมตา การกลืน การขยับนิ้วมือ รวมถึงอิริยาบทต่างๆ ของทารกได้เสมือนจริงยิ่งกว่า โดยใช้เวลาในการทำอัลตราซาวนด์

เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านมที่ออกแบบพิเศษ  สามารถถ่ายภาพเอกซเรย์เต้านมได้ทั้ง 2 มิติและ 3 มิติ พร้อมกันได้ในครั้งเดียว โดยใช้เวลาต่อการถ่าย 1 ภาพ ประมาณ 10 วินาที ตรวจรายละเอียดภายในเนื้อเต้านมได้ทั้งหมด ให้ผลการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียด ทำให้ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถแยกชนิดของก้อนเนื้อระหว่าง ก้อนเนื้องอกธรรมดาและก้อนเนื้อที่เป็นมะเร้งเต้านมได้อย่างชัดเจน รังสีแพทย์สามารถดูภาพในแต่ละมิติหรือแต่ละ slide จากภาพ Reconstruction เพื่อดูขอบเขตและรูปร่างของก้อนเนื้อที่สงสัย สามารถแยกแยะความแตกต่างของไขมันและเนื้อเยื่ออื่นๆ รวมทั้งท่อและต่อมต่างๆ ในเต้านม เพื่อค้นหาการจับตัวของแคลเซียมที่มีขนาดเล็กมากๆ ที่คาดว่าจะผิดปกติอาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคต  ทำให้สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จึงมีโอกาสรักษาหายขาดได้สูงมาก 

เครื่องเอกซเรย์เต้านมแบบ 3 มิติ  ไม่ต้องกดคนเต้านมคนไข้มากเหมือนการถ่ายเอกซเรย์เต้านมแบบเดิมเนื่องจากเป็นการถ่ายภาพในมุม +/- 15 องศา แล้วนำภาพมาประมวลผลเป็น 3 มิติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้แรงในการกดเต้านมคนไข้มาก ลดความเจ็บปวดให้คนไข้ อีกทั้งรังสีแพทย์ยังสามารถอ่านผลได้สะดวก ชัดเจนและแม่นยำขึ้น ลดอัตราการเรียกคนไข้กลับมาตรวจซ้ำ (Reduce Recall Rate) และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองคนไข้ในการเจาะตัดชิ้นเนื้อเต้านม (Breast Biopsy) อีกด้วย

สำหรับสุภาพสตรีที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจเป็นประจำทุกปีหรือตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

Osteoporosis โรคกระดูกพรุนป้องกันและรักษาได้

เป็นภาวะที่กระดูกทั่วร่างกายมีมวลกระดูกหรือปริมาณความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลงจนทำให้กระดูกนั้นเปราะบางและแตกหักได้ง่ายกว่าปกติจากการศึกษาพบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นสาเหตุทำให้เกิดกระดูกหักบริเวณกระดูกหลังแขนและสะโพกความหนาแน่นกระดูก (Bone Mineral Density, BMD) จะเป็นตัวสำคัญในการบ่งชี้ถึงความแข็งแรงของกระดูกและความเสี่ยงต่อการหักที่กระดูกนั้นความหนาแน่นกระดูกนอกจากจะช่วยในการวินิจฉัยและบอกถึงความรุนแรงของโรคกระดูกพรุนแล้วยังช่วยในการตัดสินด้านการประเมินผลการรักษาและติดตามผลการรักษาได้อีกด้วย

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน

เมื่ออายุสูงขึ้นเกินกว่า35ปีวัยและปัจจัยอื่นๆจะมีผลให้การสร้างกระดูกไม่สามารถไล่ทันกระบวนการเสื่อมของกระดูกได้จึงมีการสูญเสียเนื้อกระดุกไปเรื่อยๆสิ่งที่น่ากลัวคือมีการดำเนินของโรคไปอย่างช้าๆโดยไม่มีอาการใดๆจนเกิดกระดุกหักทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเป็นโรคนี้การป้องกันโดยการพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพกระดุกและทำการรักษาเมื่อพบว่าเป็นหรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดุกพรุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พ้นจากอันตรายของโรคนี้

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน

  • ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิง
  • หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือหญิงที่ตัดรังไข่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทันทีทำให้เซลล์สลายกระดูกทำงานในอัตราเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
  • คนเอเชียและคนผิวขาวจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนได้มากกว่าคนผิวดำ
  • ประวัติครอบครัวมีผู้เป็นโรคกระดูกพรุน
  • ผู้ที่มีรูปร่างเล็กผอมบาง
  • ขาดการออกกำลังกายมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย
  • สูบบุหรี่ดื่มสุราชากาแฟ
  • ใช้ยาบางชนิดเช่นเสียรอยด์,ฮอร์โมนบางชนิด
  • รับประทานอารที่มีแคลเซี่ยมน้อย,เบื่ออาหาร
  • เป็นโรคเรื้อรังเช่นเบาหวานตับไตไขข้ออักเสบ

การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกการX-Ray ด้วยเครื่องX-ray ธรรมดา

การX-Ray กระดูกธรรมดาสามารถบอกความหนาแน่นกระดูกได้ในระดับหนึ่งโดยแพทย์จะพิจารณาดูจากความเข้มของภาพx-ray กระดูกนั้นๆการX-Ray ด้วยเครื่อง

Dual Energy X-ray Absorption (DEXA)

การX-Ray กระดูกโดยใช้เครื่องมือวัดความหนาแน่นกระดูกที่มีรังสีX-Ray ต่างกันสองระดับโดยมีซอฟต์แวร์ในการคำนวณความหนาแน่นของกระดูก

  • เป็นวิธีมาตรฐาน
  • รวดเร็วได้ผลที่ถูกต้องปริมาณรังสี

น้อยมากประมาณ1/30เท่าของการเอ็กซเรย์ปอด

ข้อบ่งชี้และประโยชน์ของการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก

เนื่องจากโรคกระดุกพรุนในระยะเริ่มต้นจะไม่ปรากฏอาการผู้ป่วยจึงไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้จนกว่าปริมาณเนื่อกระดุกจะลดลงถึงระดับที่กระดูกเปราะและหักด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันแทพย์สามารถวินิจฉัยภาวะกระดูกบางหรือโรคกระดูกพรุนในระยะเริ่มแรกได้โดยการวัดความหนาแน่นของกระดุกด้วยเครื่องDEXA Scan[ Dual Energy X-Ray Absorption ]ซึ่งเป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถ

ตรวจพบการลดลงของเนื้อกระดูกได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและสามารถใช้ติดตามผลการรักษามีกระบวนการตรวจที่สะดวกสะบายรวดเร็วมีวิธีการประเมินค่าที่ตรวจได้โดยอ้างอิงตามเกณฑ์มาตราฐานขององค์การอนามัยโลก

เครื่องถูกออกแบบให้สามารถตรวจกระดูกได้หลายตำแหน่งแต่บริเวณที่เหมาะสมแก่การตรวจมากที่สุดคือบริเวณกระดูกที่รองรับน้ำหนักของร่างกายคือกระดูกสันหลังกระดูกสะโพกและกระดูกข้อมือและผู้ที่สมควรได้รับการตรวจเป็นอย่างยิ่งคือผู้สูงอายุหญิงวัยหมดประจำเดือนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงรวมไปถึงผู้ที่มีอายุมากขึ้นและไม่เคยได้รับการตรวจมาก่อน

PACs คือ ระบบที่ใช้เชื่อมต่อ จัดเก็บและรับส่งข้อมูลภาพทางการแพทย์ แบบดิจิตอลผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ตามมาตรฐาน DICOM สามารถส่งต่อข้อมูลการตรวจวินิจฉัยทางรังสีวิทยา ไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นของระบบ PACs

  • ความรวดเร็วโดยสามารถส่งภาพเอกซเรย์ให้รังสีแพทย์ได้ทันที
  • คุณภาพของภาพดีกว่าภาพเอกซเรย์แบบเดิม ให้ความคมชัดมาก สามารถขยายภาพหรือวัดค่าต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคได้อย่างละเอียด
  • สามารถส่งภาพทางรังสีวิทยาได้ทุกประเภท
  • รักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยให้มีความปลอดภัยสูง

แพทย์ที่เกี่ยวข้อง

นพ. ดวิษ ลิมกุล
รังสีวิทยาทั่วไป
นพ. ดิศรณ์ เกษมเศรษฐ์
รังสีวิทยาวินิจฉัย
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
  • 6
  • 7
  • 8
  • 9
  • 10